วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ลมหายใจแห่งสันติ เพื่อ การสื่อสารอย่างสันติ

เสาร์-อาทิตย์นี้ (22-23 พ.ย.51) นาได้ไปร่วม workshop การสื่อสารอย่างสันติ(/ด้วยใจกรุณา) จัดโดยเสมสิกขาลัย มาค่ะ

ทันทีที่กลับจาก workshop มาถึงบ้าน นาก็ไฟแรงมาก กะว่าจะพยายามสื่อสารกับพ่ออย่างดี, ให้เกิดความสงบสุขในบ้านเสียหน่อย หลังจากเรื่องแรกที่นาได้คุยก็เกือบๆ-ร่อแร่ๆ-แต่ก็ยังแก้ลำได้ แต่ก็ไม่วาย เมื่อบทสนทนาผ่านไปสู่ประเด็นถัดมา พ่อบอกให้นาไปเปิดคอมฯเพื่อตรวจสอบข้อมูลราคาสินค้าให้ภายในวันนี้ (ตอนนั้นก็ดึกแล้วอ่ะนะ) และนายังไม่ทันได้พูดอะไร ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ บทสนทนาเรื่องนี้จึงจบด้วยการโมโหของพ่อ และคำพูดต่อว่า

นาหลบพายุลูกนั้นด้วยการเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ...และร้องไห้

รู้สึกว่ายอมรับว่าตัวเองต้องการความเห็นใจ นารู้สึกเพลียเหมือนๆจะไม่สบาย และก็อยากจะพักผ่อนแล้ว แต่พ่ออยากให้นาเปิดเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบราคาสินค้าให้ ภายในคืนนี้ โดยที่นาไม่รู้มาก่อน (ตอนหลังโทรคุยกับพี่สาวที่ปกติจะเป็นคนเช็คราคาให้พ่อ-ก็ปรากฏว่าพี่เขาลืมบอกเรา...ซึ่งเราก็ไม่โกรธนะ ก็โอเค) แต่นาไม่ได้พูดว่านาจะไม่ทำ นาถอนหายใจเฮือกออกมา แต่พอตีความว่านาไม่เต็มใจและจะไม่ทำให้ และเริ่มพูดตามการตีความพวกนั้นทันที ... เราพึ่งฝึกกันมาเมื่อบ่ายเอง ว่าให้กลับมารับรู้ความรู้สึกของเราขณะหายใจเข้า และหายใจออกพร้อมๆกับให้ความกรุณา ความรักความเมตตาแก่ตัวเรา และผู้อื่น ...นานึกขึ้นได้และเริ่มหายใจ เข้า-สัมผัสความเจ็บปวดในใจ ออก-รักตัวเอง พ่อ และสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้จะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทุกลมหายใจเข้าออกหรอก แต่พอเราให้ความรักตัวเอง มันก็รู้สึกโอเคมากขึ้นที่จะยอมรับความผิดพลาดนั้น ที่เราตอบสนองด้วยท่าทีไม่สู้ดีออกไป และให้ความเข้าใจกับการที่ตัวเองร้องไห้อยู่ ความเข้าใจพ่อก็เริ่มตามมา เราคิดคาดเดาเขา เขาคงกลัวว่าข้อมูลมันจะหายไปภายในพรุ่งนี้ และเขาคงต้องการข้อมูลในวันนี้ ทำการค้า...รู้ข้อมูลยิ่งเร็ว ยิ่งช่วยให้ตัดสินใจซื้อขายได้ดี เราก็อ่ะ...โอเค นอกจากนี้ หากฟังให้ดี ท่ามหลางรูปแบบภาษาหมาป่าหูออกนั้น กลับแฝงความน้อยอกน้อยใจอยู่ลึกๆด้วย

มัน Amazing มากเลย ที่ในท่ามกลางสถานการณ์รุนแรง แม้จะแค่ในใจของเราเพียงคนเดียว แต่เมื่อเราสามารถยอมรับความรู้สึกไม่ว่าอะไรก็ตาม รับรู้มัน เคารพมัน และให้ความรักมัน มันดีจังเลย

ระหว่างที่กำลังร้องไห้ จริงๆก็นึกถามอยู่เหมือนกันว่า เราจะรักษาสันติสุขในใจเราให้ต่อเนื่องได้อย่างไร
ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นเช่นนี้อีก วันนี้ที่ตอนกลางวันรู้สึกสงบและตื่นรู้ได้ดีขณะฝึกปฏิบัติ แต่พอต้องข้องแวะกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เรารัก เราก็หลุดทุกที (หลุดแต่ตอนสำคัญเสียด้วยซี) คงไม่ต่างกับที่พี่โอมเขียนไว้ในบันทึก Dialogue Oasis ครั้งที่ 1 ที่ผ่านมาว่า "เราจะรักษาน้ำหยดเดียวไม่ให้เหือดหายไปได้อย่างไร"

นั่นนะซิ?

สุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่โอมที่แบ่งปันเรื่องราว และขอแบ่งปันเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของนาเอง ให้กับทุกๆคนด้วย ขอให้สันติภาพจงงอกงามในใจของทุกคน (และตัวนาเองด้วย) ยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ราคาที่เป็นธรรม คืออะไร การค้าที่เป็นธรรม เป็นไฉน


ข้าพเจ้าเริ่มคิดคำนึงกับวลี"การค้าที่เป็นธรรม"อย่างใกล้เนื้อใกล้ตัว
จากประสบการณในการถักตุ๊กตาตัวที่ 2 เพื่อแลกเป็นเงินจำนวนหนึ่ง

เริ่มจาก ด้วยที่เราก็ไม่รู้ว่าตุ๊กตาถักทำมือเนี่ย...เค้าตั้งราคากันประมาณไหน
รู้คร่าวๆว่ามัน แพง หรือสูงกว่าราคาตุ๊กตาธรรมดาๆแน่นอน

และด้วยความที่คนที่สั่ง เป็นทั้งผู้ที่เราเคารพ และเหตุที่ทำให้สั่ง ก็เป็นเรื่องราวที่น่ายินดีปรีดากับผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้รู้จักและสัมผัสเรื่องราวของพวกเขาอยู่บ้าง ... หะแรกที่รับงาน จึงไม่ได้สนใจเรื่องค่าตอบแทนมากนัก รับเพราะเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใครสั่ง(^.^) รับแม้จะมีงานให้ยุ่งวุ่นวายกายและใจอยู่เนืองๆ และรับเพราะอยากร่วมยินดีกับเหตุที่จะให้ของขวัญแทนคำขอบคุณด้วย

พอข้าพเจ้าทำชิ้นงานเสร็จเรียบร้อยพร้อมแพ็คเกจ ก็ส่งมอบให้อาจารย์ไปหยิบจับเล่นๆ
แล้วอจ.ท่านก็ถามอีกครั้งว่าให้ค่าเหนื่อยเท่าไหร่ดี เราก็ว่าไปว่าแล้วแต่เลยค่ะ
แต่อจ.กลับตอบมาด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ประมาณว่า ช่วยไปคิดราคาให้หน่อยเถอะ T_T (ค่ะๆ..จะลองดูคะ)


เย็นนั้น ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ก็เลยนั่งนึกๆดู

ต้นทุนของเท่าไหร่หว่า?...คิดยากจริง
เพราะจุกจิก ใช้หลายสิ่งหลายอัน และไม่เคยได้จดราคาที่ได้มาเท่าไหร่
คิดค่าแรงยังไง?...คิดยากกว่า 555+ เพราะ Time and labour intensive อยู่
ขืนให้หนูคิดตามความเหนื่อยกาย...อจ.อาจหันไปซื้อของขวัญอย่างอื่นได้ (-__-")

ยังตั้งราคาไม่ได้ แต่ก็คิดต่อๆๆ...

คำถามลอยเข้ามาในหัวเรื่อยๆ
ถ้าจะตี"คุณค่า"ของตุ๊กตาตัวนี้เป็นราคา...สำหรับผู้ซื้อ...จะเป็นเท่าไหร่ ราคาที่เป็นธรรมสำหรับผู้ซื้อ-คิดในแง่ที่ว่า บริบททางเศรษฐกิจ ณ เวลาหนึ่งๆ เขาจะมีรายได้เท่าไหร่ รายจ่ายยังไง ราคาที่สมควรในบริบทนั้นๆ ที่ไม่ทำร้ายกระเป๋าคนซื้อจะเป็นเท่าไหร่

แล้วราคาที่เป็นธรรมสำหรับผู้ขาย ที่เขาจะได้รับเป็นค่าครองชีพได้เพียงพอไหม ความเอาใจใส่ ความตั้งใจ ความคิดสร้างสรร ที่คนทำทุ่มเทให้ระหว่างทำงาน...มากบ้างน้อยบ้าง และความยินดีปรีดาเมื่องานสำเร็จ ใครกันจะกล้าตีราคาหึ?

โดยส่วนตัว ก็ถือให้การถักทอเป็นการฝึกฝนตัวเอง ... เพราะฉะนั้นก็ต้องขอบคุณผู้สั่ง
เหตุที่ให้สั่ง และผู้ที่จะได้รับ ด้วย ที่ได้ให้โอกาสนี้แก่เรา



เฮ้อ...สุดท้าย
่ในที่สุด...อจ.ก็เสนอราคามาให้ในค่ำวันนั้น
แม้ว่าจะต่างจากที่เราคาดคะเนไว้

แต่ก็น้อมรับด้วยความยินดี ( -A - ) ขอบคุณค่ะ

บอกแล้วว่างานนี้รับอัตราบริจาค

-------------------------------------------------------------------------------------------------

ปล.1 นี่ขนาดเราไม่ Relate กับต้นทุนทางธรรมชาติน่ะเนี่ย คิดไปกันใหญ่จนระบุราคาไม่ออกกันเลยทีเดียว
ปล.2 หนึ่งในเหตุผลที่เราไม่อยากพัฒนากิจการถักตุ๊กตาขายเป็นล่ำเป็นสัน (จริงๆก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำไงอ่ะนะ)
คือ เราคิดว่า...ตัวตุ๊กตาก็จัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ใช้อะไรต่อมิอะไรมากมายกว่าจะได้ไหม ด้าย ใย
ถ้าเราทำออกมา-แม้จะน่ารักขนาดไหน-แต่ถ้าเป็นไปเพื่อทำให้คนอยากได้ๆ แล้วซื้อๆๆของๆเรา

เราก็ไม่ยินดีเลย


ตอนนี้เลยตัดสินใจแล้ว ว่าจะไม่รับงานดาดๆ สนองความต้องการฉาบฉวย
ถ้าเป็นคนพิเศษ ของพิเศษ เหตุการณ์ดีๆ หรือให้เป็นกำลังใจ ...อย่างนี้ค่อยน่าสนใจถักให้หน่อย

ปล.3 ว่าแล้วก็พัฒนาเฟสถัดไปของงานถักสู่การทำของใช้ดีกว่า ลัลล้า ยู้ฮู้ @(^ v ^)@

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เส้นบางบางที่คั่นกลางรอยยิ้มและน้ำตา

ว่าต่อโพสของกวาง...เปนสะท้อนประสบการณ์(ที่ยังไม่มีใครรู้)ในคลาสเมื่อวาน

เรื่องมันมีอยู่ว่า...ช่วงเช้าที่ทำLaughting Excercise กัน โดยให้หัวเราะน็อนสต็อป 10 นาที (-_-")

อจ.บอกว่าถ้าหัวเราะไม่ได้ก็แค่นๆหัวเราะไป นาก็หัวเราะๆๆๆไปได้ระยะเวลาหนึ่ง เริ่มรู้สึกหัวเราะไม่ออก ก็สงสัยเหมือนกันว่า...ทำไมเราหัวเราะไม่ได้นะ...เออ...งั้นหาเรื่องขำๆในคลังเมมโมรี่ออกมาดีกว่า (พึ่งมารู้ทีหลังว่านี่มันมิใช่Aimของกิจกรรมนี้...ถือว่าขาดสติจากInstructionที่อจ.บอกกล่าวไว้อย่างยิ่ง...555+น้อมรับๆๆ)

พอคิดเท่านั้นแล...มันก็มีชุดความคิดที่แว่บ แว๊บ แวบออกมาต่อๆกันว่า-เออ-เราไม่ได้หัวเราะจริงๆมานานแค่ไหนแล้วนะ, แล้วคำตอบของคำถามข้างบนก็สวนขึ้นมา เป็นภาพของคนคนหนึ่ง ที่เคยทำให้นาหัวเราะได้จากใจ...(เอิ่ม...อดีตDarlingนั่นแหละ) และเราไม่ได้หัวเราะแบบนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ...

ตลกดี-ทำLaugting Excerciseอยู่ดีๆก็ร้องไห้เฉยเลย (ตอนนี้...พอนึกถึงก็น้ำตารื้นนิดๆอยู่)

ก็เห็นตัวเองตอนนั้นนะ ว่ากำลังจะ Grab เอาเรื่องในความทรงจำมาทำต่อ... หมายถึง เอามาเติมเชื้อให้ตัวเองร้องไห้ต่อ รู้สึกขอบคุณเสียงหัวเราะของทุกๆคน, พี่เอ๋ที่นำกิจกรรมในความมืด ที่ให้ดูใจแต่ไม่ต้องตัดสิน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้านั้น, ที่ช่วยเตือนและดึงให้นากลับมาอยู่กับลมหายใจเป็นระยะๆ

เพราะใจมันก็ตกร่องกับการคว้าอะไรๆมาต่อไฟ แม้ว่าจะเห็นไปแล้ว ก็ยังเผลอได้อีก แต่เผลอสักพักก็รู้ ก็ตามรู้ๆๆและ"ดูแลตัวเอง"อยู่เยอะมาก ทั้งในระหว่างที่ทำexerciseนั้น จนกระทั่งพี่เอ๋เริ่มนำกิจกรรมและวงเริ่มเช็คอินไปแล้ว

รู้สึกยากที่จะResponse เรื่องนี้ในวง ณ ตอนนั้น ถึงตอนนั้นจะไม่ได้ร้องไห้แล้วก็ตาม-ไม่ใช่ไม่กล้าเผยเรื่องนี้นะ รู้สึกกล้าและปลอดภัยกับวงมากที่จะเล่าเรื่องที่ปกติเราจะไม่เล่าเลย แต่มันรู้สึกว่าอารมณ์มันยังสั่นสะเทือนข้างในอยู่มากมาย ...และพอจะพูดก็เหมือนๆจะร้องไห้(อย่างที่พี่จงทักนั่นแหละ)เลยขอใช้พื้นที่นี้แชร์ดีกว่า

...จบข่าว...

(^_^)ขอบคุณที่ฟังอย่างลึกซึ้งนะคะ

9 ส.ค. 51

ปล.ใครแวะไปเอ็มโพเรียมอาทิตย์นี้ สามารถไปเยี่ยมนากับพี่ปราย(และพี่โป)เข้าอบรม Brand Gen ได้เหมือนกันนะค้า อิอิ

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

พึ่งกลับมาไม่กี่วันแต่ทำไมอะไรๆผ่านเข้ามาเยอะจัง


“พึ่งกลับมาไม่กี่วันเอง” เป็นความรู้สึกข้างใน แต่ทำไมอะไรมันเกิดๆๆจัง? งึมๆๆ
ยังอยากถักตุ๊กตาอยู่ 555 วันนี้ถัก “เกือบ” ทั้งวัน จนรู้สึกชาทั้งแขนตอนที่ปล่อยแขนลง (เพราะเกร็ง&ยกแขนไง) ยังปวดข้อมือขวานิดๆ...แผลเก่า แต่ก็ดี เกือบเสร็จ 1 ตัว, ทำงานของอจ.SS เสร็จไปเปล่าะนึง แค่บ่ได้อ่านหนังสือ-กำลังจะเริ่มอ่านเรื่องชุมชน(สักอย่าง)ที่เคยได้รับบริจาคจากครูน้อย ว่าจะอ่านพรุ่งนี้ก่อนเข้าห้องเรียน

คิดๆดูก็ตลกดี อีกอาทิตย์นึงจะสอบสัมภาษณ์แล้ว ยังไม่คิดเลยว่าสนใจ/อยากไปประเทศ/ยูฯไหน คนอื่นอาจจะว่าบ้า...แต่เราแฮปปี้กับโครเชต์มากกว่า ถึงวันนี้มันจะคิด+หลุดเยอะมากเลย แต่มันก็สบายกว่าไปกังวัลกับอนาคตข้างหน้านี่นา...
เฮ้อ – Too worried กับ Not prepared นี่ต่างกันตรงไหน → จะทำยังไงดีน้า ถ้าเป็นสถานการณ์ในกิจกรรมประจำวันก็พอเก็ท แต่กับการคิดถึงอนาคต = วางแผนนี่สิ?! เบื่อจะปวดหัว+depressed

รู้สึกอิจฉาชีวิต “พระ”ขึ้นมานิดๆแล้วซิ

คิดๆดู พอปล่อยวางเรื่องอนาคตได้สักพักนึง นอกจากจะรู้สึกสบาย-เบา-ไม่เครียดแล้ว ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย
นึกถึงหลายๆสิ่งที่ได้พบเจอหรือรับฟังมา, ทั้งหลวงปู่เทพ, หลวงพ่อไพศาล, ปาฐกโกมล’50 (นึกชื่อไม่ออกอ่ะ), เหมือนทุกอย่าง-อืม...บาง messages มันค่อยคลี่คลายตรงหน้าเรา สิ่งที่เราคิด-ถาม-คลางแคลง-ขัดแย้งกับคนอื่น(คนส่วนใหญ่)ภายนอก พอมีคนพูดให้รับ+ฟัง มันสะดุ้งอ๋อหรือน้ำตาคลอก็มี
...รู้สึกข้างในมันใหญ่ขึ้น + อิ่มเอิบ...

บางที่บทบาทหน้าที่ในโลกนี้ ชีวิตนี้ จะเป็นอะไรก็ได้ตราบใดที่เรายังไม่ละ ไม่ลืมเป้าหมายของชีวิตที่จะเข้าใจตัวเอง, จิตใจตัวเอง คงนับว่าเป็นชีวิตที่ดีทีเดียว

Related Posts with Thumbnails