วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Poem to My Dear


Dear, Fear ...

you come and go.

No things lasting forever.

Just like the wind -

come and go,

come and go ...


by NaNaChidTanG 090624 0:00

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องเล่า ภาวนา กลางกรุง (1)


และแล้ววันนี้ก็มาถึง เช้าวันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2552 ท้องฟ้าสดใส ประโปรยไปด้วยปุยเมฆขาวประปราย ฉันตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปงานภาวนากลางกรุง ซึ่ง “ขวัญแผ่นดิน สถาบันเพื่อการเรียนรู้โลกด้วยใจ” จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ฉันอยู่ในภาวะปลอดโปร่งโล่งสบายเท่าที่จะทำได้ หลังจากนอนดึกและตื่นเช้าซึ่งผิดวิสัยส่วนตัวยิ่งนัก ;-P แถมยังพกความประหวั่นใจเพราะเป็นการจัดงานภาวนาครั้งแรกร่วมกับพี่ๆน้องๆในสถาบันอีกด้วย
ย่างเข้า 8 นาฬิกา ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาในห้องและลงทะเบียน แม้ผู้ที่ลงชื่อไว้ล่วงหน้าบางท่านจะไม่สามารถมาได้ แต่ผู้ที่ไม่ได้ลงชื่อไว้กับเราล่วงหน้า ก็สาวเท้าก้าวเข้ามาในงานมากหน้าหลายตา ใจของฉันในฐานะผู้จัดจึงชื้นขึ้นมาเล็กน้อย บรรยากาศในห้องดูมีชีวิตชีวามากขึ้น บางคนนั่งจับกลุ่มคุยกันเงียบๆ เพราะเพิ่งเจอกันครั้งแรก ในขณะที่บางคนซึ่งเคยเจอกันในงานอบรมต่างๆร่วมกันมาบ้างก็พูดคุยทักทายกันอย่างเบิกบานเพราะไม่ได้เจอกันมานาน หรือบางท่านก็เดินชมและช็อปหนังสืออย่างสบายใจ

กิจกรรมเริ่มแรกแห่งวัน เริ่มจากการเปิดใจจากทีมผู้จัด ทั้งพี่จุ๋ม และพี่เก่ง ว่าแม้จะถึงเวลาเริ่มกิจกรรมแล้ว ก็ยังมีแต่ความไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้จะเป็นเช่นไร จะพูดอะไรดี จะจัดกิจกรรมอะไรบ้าง และจะตอบโจทย์ความต้องการ/ความคาดหมายของผู้เข้าร่วมได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในวันนี้จึงไม่มีใครแม้สักคนจะรู้ล่วงหน้าเลยว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อพี่จุ๋มเชิญเสียงระฆังให้ดังกังวานไปทั่วห้อง พร้อมกับน้อมนำให้ทุกคนกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวกับใจสักครู่ แล้วจึงเชื้อเชิญให้เขยิบนั่งเข้ามาชิดๆกันหน่อย พี่เก่งและพี่จุ๋มรู้สึกเหินห่างกับทุกคนมากเลย :-) ผู้เข้าร่วมแต่ละคนก็ได้ลำเลียงความเป็นตัวเองและความคาดหวังสำหรับการมาร่วมงานในครั้งนี้กันถ้วนทั่วและอบอุ่นยิ่งนัก บางส่วนมาจากองค์กรธุรกิจ ส่วนบางคนทำงานด้านสาธารณสุข นักศึกษารุ่นใหม่ของหลักสูตรปริญญาโทจิตตปัญญาก็มาด้วยกันอย่างอบอุ่น หรือจะเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ และคนรู้จักของพวกเรา บางคนมากันเป็นครอบครัว บางคนนอกจากจะชักชวนพี่น้องผองเพื่อนมา ยังพาแฟนมาอีกด้วย (น่ารักจริงๆ) เมื่อแนะนำตัวกันอย่างสั้นๆจนครบ เราก็เริ่มเห็นความแตกต่างหลากหลายซึ่งเป็นสีสันของการรวมกลุ่มสังฆะนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะบางคนก็เคยเรียนรู้การเจริญสติภาวนากันมาแล้ว เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันก็ไม่น้อย และที่เป็นศิษย์หลายสำนักก็มีด้วยเช่นกัน บางคนก็ไม่เคยรู้จักการภาวนามาก่อนเลย อาจจะเพียงแค่ได้ยินได้อ่านได้ฟังแต่ยังไม่เคยได้ลงมือทำด้วยตัวเองเสียที อย่างไรก็ตาม ฉันกลับรู้สึกสบายใจมากๆ ที่กลุ่มผู้เข้าร่วมที่หลากหลายเช่นนี้ ไม่มีอาการวางตนวางภูมิแต่อย่างใดเลย แม้ผู้เริ่มปฏิบัติหรือผู้เยาว์ก็ได้รับการเคารพจากทุกคน ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไป กระบวนกรก็ได้นำพากิจกรรมแล้วกิจกรรมเล่าให้เราได้เรียนรู้และลงลึกกับการเคารพและยอมรับผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น
ฉันคาดว่า หากผู้ใดนึกภาพว่าจะมานั่งสมาธิเงียบๆ สลับกับเดิน นอน พักกันอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย หรือมานั่งฟังผู้รู้บรรยายๆๆและตรวจว่าใครปฏิบัติถูกต้องหรือไม่แล้วล่ะก็ คงจะต้องช็อคกับสิ่งที่ต้องเจอในวันเสาร์ที่ผ่านมาแน่ๆ เพราะพี่จุ๋มนำพาพวกเรานั่งบ้าง เดินบ้างก็จริง หรือพูดถึงหัวข้อนู่นนี่นิดหน่อย แต่ทั้งหมดไม่ได้บอกอย่างตรงๆเลยว่า ภาวนา คือ อะไร มีสติรู้ตัวที่ถูกต้อง คือ แบบไหน ยิ่งไปกว่านั้น ยังจัดกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเยอะมาก จนพวกเราทีมงานมานั่งคุยกันที่หลังยังบอกเลยว่า จริงๆ แล้ว งานวันนี้ คือ ภาวนา ตอน ไดอะลอค ชัดๆ
มีอยู่ช่วงหนึ่งในตอนบ่าย หลังจากที่ลุกขึ้นเดินสะเปะสะปะปนเปกันไปมาในห้องได้สักพัก พี่จุ๋มก็ให้เราจับคู่กับคนข้างๆ แล้วเล่าเรื่องราวความทุกข์ของเราให้เพื่อนฟัง เช่นเดิมกับในตอนเช้า ซึ่งให้พวกเราจับคู่กัน และสะท้อนประสบการณ์ที่ได้จากการเดินอย่างรู้ตัว ฝ่ายที่ฟังก็ขอให้ฟังเฉยๆ ไม่พูดแทรก ไม่ถาม ไม่ตัดสิน เมื่อคนแรกเล่าจบ ก็นั่งทำสมาธิสักพัก แล้วคนที่สองก็เริ่มเล่าบ้าง ฉันจับคู่กับพี่ นศ. จิตตปัญญา รุ่นที่ 2 ซึ่งเคยพบเจอกันในการอบรมนพลักษณ์มาก่อน ต่างก็มองตากันแล้วพี่เค้าก็ให้ตัวฉันพูดก่อน (ออกแนวอึกอักกันเล็กน้อยทั้งคู่) ตอนแรกฉันก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องทุกข์หนักหนาใด แถมเพราะตอนเดิน แม้พี่จุ๋มจะไกด์ให้เราลองทบทวนถึงเรื่องราวความทุกข์ของตน แต่ฉันก็ไม่ได้นึกหรอก :-D อย่างไรก็ดี ฉันก็ค่อยๆ ลำเลียงให้เรื่องราวมันออกมาตามธรรมชาติ ซึ่งกลับกลายเป็นว่า หลังจากที่เราทั้งสองได้บอกเล่าและรับฟัง-กันและกันแล้ว ฉันก็พบว่าเราต่างก็มีเรื่องราวความทุกข์คล้ายคลึงกันเลย และการที่เราได้บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้-ออกมา ในขณะที่มีคู่หูทำหน้าที่เป็นเพื่อนฟังอย่างไม่ตัดสินแม้ในใจ ก็ทำให้เราสามารถยอมรับตนเองได้อย่าง-ง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องเก็บกักหรือจัดการกับมันเช่นปรกติเคยชิน เพียงแค่ยอมรับว่านี่คือความทุกข์ของเรา นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายสำหรับเรา และเรากำลังมองหาหนทางที่จะนำพาชีวิตของเรา และคนรอบข้าง-ไปสู่ความสงบศานติ ช่างน่ามหัศจรรย์เหลือเกินที่การพบปะระหว่างคนรู้จักกันธรรมดาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมานาน เพียงมาอยู่ร่วมกันในพื้นที่สบายๆ แต่เปิดกว้างเพื่อการเรียนรู้แห่งนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เราก็สามารถบอกเล่าเรื่องราว-ที่เราทุกข์ที่สุดออกมาให้ผู้อื่นฟังได้อย่างง่ายดาย นี่สินะ มนตราของพลังกลุ่ม ;-)
อีกนัยหนึ่ง การจับคู่แลกเปลี่ยนและไดอะลอคกับเพื่อนนี้ ก็คือ แบบฝึกหัดสติระหว่างการพูด-ฟังนั่นเอง ฟังอย่างรู้เท่าทันความคิด วิเคราะห์ ตัดสิน วิจารณ์ผู้อื่นของเรา ฟังอย่างรู้เท่าทันเสียงชื่นชม ยินดี เห็นอกเห็นใจ-ผู้อื่นของเรา หรือยามที่ตนเป็นฝ่ายเล่า ก็ตามดู ตามรู้ ทันบ้างไม่ทันบ้าง กับอารมณ์เศร้า น้อยอกน้อยใจ หยิ่งลำพอง ฯลฯ หรือความขวยอาย และลังเลว่าจะเล่าเรื่องส่วนตัว และอาจจะดูไม่ดีให้คนตรงหน้าฟังดีไหม การตามรู้หลังจากที่เสียงเหล่านี้เกิดขึ้นมาในหัวของเรานี่แหละ ที่ทำให้เราไม่ต้องเป็นทาสผู้รับใช้อารมณ์ความรู้สึก หรือความคิดเหล่านั้นอย่างอับจนหนทาง เราเพียงแต่รับรู้ อยู่กับมัน เป็นเพื่อนกับมัน เท่านั้นเอง
ในตอนท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกเราล้อมวงคุยกันเป็นวงใหญ่อีกครั้ง พร้อมทั้งบอกกล่าว-สิ่งที่แต่ละคนได้รับ หรือเรียนรู้ในวันนี้ มีพี่สาวคนหนึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ที่ตนเองมีเกี่ยวกับ “มิตรแท้แห่งตน” ในวันนั้นได้อย่างน่าประทับใจมาก เธอกล่าวว่า เธอเคยได้รับคำครหาว่ายึดติดกับคำนำหน้าชื่อ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการงาน และเธอรู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอกลับเอาแต่เจ็บปวด และผิดหวัง คอยพยายามวางตัวไม่ให้เป็นเช่นคำครหานั้น ทว่า เธอกลับเพิ่งค้นพบว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอมัวแต่ไปให้อภัยคนอื่น แต่ไม่เคยให้อภัยตนเองอย่างแท้จริงเลยต่างหาก
ระหว่างที่ฟังผู้เข้าร่วมคนอื่นๆได้บอกเล่าประสบการณ์การเรียนรู้ของตนออกมานั้นเอง คำว่า Contemplative Society ก็ลอยขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึงของฉัน เป็นคำๆเดียวกันกับที่ อ. ณัฐฬส วังวิญญู เห็นในฝันของเขาพร้อมๆ กับภาพของ ท่าน Trungpa Rinpoche ในกลางดึกเมื่อสองวันก่อนนี้เอง คำว่า Contemplative Society นั้นช่างสั่นพ้องซ้อนทับกับภาพที่ปรากฎแก่ตาตรงหน้านี้เสียจริง พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้อาจจะเป็น Oasis อีกแห่งภายในเมืองหลวงเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย ที่ความมีสติรู้ตัวในคนเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะค่อยๆสั่นสะเทือนจากภายในและแผ่ขยายออกไปส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนใหญ่ในสักวันหนึ่งได้อย่างแน่นอน ฉันครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายและเลิกรากันกลับไปหมด
ด้วยจิตน้อมคารวะ องค์พุทธะในตัวทุกคน
นานาจิตตัง : 15 มิถุนายน 2552
( แก้ไขล่าสุด 17 มิ.ย. 52 )

หมายเหตุ* สำหรับงานภาวนากลางกรุงครั้งต่อไป เราจะนัดเจอกันในวันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2552 โดย อ. สมชาย สุนทรยาตร และทีมงานขวัญแผ่นดินเช่นเดิม (แต่รับรองว่าเกลียวพลวัตของการเรียนรู้ในแต่ละคนย่อมไม่มีทางเหมือนเดิมแน่นอนค่ะ)
สนใจติดต่อสอบถามและขอรับใบสมัครได้ที่ contact@earth-soul.com หรือ 089-781-0981 (วิลาสีนี) ยินดีต้อนรับทั้งผู้ที่ยังไม่เคยมา หรือไม่เคยฝึกปฏิบัติภาวนามาก่อนก็ได้ รวมทั้งผู้ที่เคยฝึกมาแล้วแต่ไม่เคยมาร่วมงานนี้ หรือเคยแล้วทั้งสองอย่าง ก็สามารถมาร่วมกันภาวนาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในวันนั้นได้ค่ะ ยินดีต้อนรับทุกคนเสมอค่ะ

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

It’s gotta be you

ฉันหลงรักหนังสือในชั้นหนังสือในร้าน

มากเกินกว่าที่จะเรียกถามพนักงานให้พาไปหาเสียซื่อๆ

การเดินหลงทางท่ามกลางหนังสือร้อยแปด

ได้ค่อยๆไล่สายตาไปตามตัวหนังสือบนสันปก

รอคอยวินาทีที่ใจจะบอก…ว่าเล่มนี้แหละ ที่เหมาะกับฉัน

 

วันนี้ฉันตกหลุมรักหนังสือเล่มหนึ่ง

ปกผ้าสีขาว แถบสีดำรองรับอักขระสีทอง

เธอชื่อเมล็ดพันธ์ุใหม่แห่งการภาวนา

วันนี้ฉันก็ไปงานภาวนา “มิตรแท้แห่งตน” มา…

 

ไม่มีความบังเอิญในจักรวาล

 

It’s gotta be you, It’s gotta be me, We gotta be free…hmm hmm

 

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บอกคราวเล่าความ#01


ช่วงนี้นาสบายดีนะคะ...

พยายามฝึกฝนระเบียบวินัยในตัวเอง 
เพราะรับงานอิสระ (รับมาแล้ว ทำงานที่บ้าน)
เงินเค้าก็ให้ งานก็ไม่ตามจี้ 
(ดีไปไหมเนี่ย? - 555 แต่ชอบนะ)

บางทีก็นึกถึงคำ 2 คำซึ่งอาจจะขัดแย้งกัน
"อิสรภาพ" กับ "ระเบียบวินัย" 
ไม่มีแม้แต่คำถามด้วยซ้ำ แต่เหมือนเราพยายามหาจุดสมดุลระหว่าง 2 นามธรรมนี้
(จริงๆ ก็พยายามหาสมดุลในหลายๆ ด้านนั่นแหละ)

แล้วก็... กำลังแฮปปี้กับการทำงานด้วย เพราะมันแยกกับการเรียนรู้ไม่ออกเลย ตื่นเต้นๆ สิ่งที่เราเคยคาด เคยวาด ความฝันเอาไว้ แม้จะไม่ได้อยู่ในระบบ (ครั้งแรก เราไม่รับสิทธิ์นั้น ครั้งที่สอง เค้าบอกว่าเราไม่มีสิทธิ์สอบ) แต่เรากลับคิดว่า บางที... มันอาจเข้มข้นกว่าการเรียนในระบบด้วยซ้ำ มันเข้มข้น มั่วซั่ว สดมากๆ แล้วก็ใช้ความเป็นตัวเองในการทำความเข้าใจและเรียนรู้องค์ความรู้เหล่านั้นด้วย :-)

ปล. งานที่จับอยู่ในมือตอนนี้ ก็มี 
- Edit หนังสือ (คือ เราดูที่เค้าแปลมาแล้วอีกทีน่ะ) 
หนังสือยังไม่มีชื่อภาษาไทยเลย (ใครคิดออกบอกด้วยนะคะ :-p) 
ส่วนชื่อภาษาอังกฤษคือ "What the Bleep do We Know?: Discovering the Endless Possibilities for Altering Your Everyday Reality" 
ซึ่งแม้ชื่อรองจะคล้ายๆหนังสือจิตวิทยาเกร่อๆ แต่เนื้อหาจริงๆ ส่วนมาก คือ ควอนตัม (เราจบชีววิทยามา...อ่านรู้เรื่องมากกกกกก (กัดฟัน)) กับ ความหมายทางจิตใจ/จิตวิญญาณ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ... 
สรุป - มันมีทุกอย่างเลย มันส์มาก 555 (มีหนังชื่อเดียวกันด้วยนะ ลองดูในคุณท่อได้)

- บรรณาธิการหนังสือเกี่ยวกับเด็ก(ที่มีความต้องการ)พิเศษเล่มหนึ่ง 
(ยังไม่มีชื่อหนังสือเหมือนกัน) คือ จริงๆ ตอนนี้เราแค่นั่งฟังไฟล์เสียงที่อัดมาจากงานอบรมอ่ะนะ เพิ่งเริ่มเตาะแตะๆเลย แต่งานนี้น่าจะเป็นการถอดประสบการณ์และความรู้จากอาจารย์(ในระบบ)ที่เชี่ยวชาญด้านแก้ไขการพูด ซึ่งส่วนหนึ่งผึกหัดการพูดให้กับเด็กพิเศษ และการทำงานภายใน (หมายถึง ด้านใจ นะ ไม่ใช่อวัยวะภายใน :-p) โดยมีอาจารย์(นอกระบบ-แต่เครี่ยวกรำในด้านนี้มานาน)ระดับปรมาจารย์โยดาด้านโคชชิ่งในกระบวนทัศน์ใหม่ด้วย (งานนี้แหละ ที่เราไม่ได้ตั้งใจ แต่มันบังเอิญเป็นตัวเชื่อมศาสตร์ด้านจิตวิทยาเด็กที่เราอยากศึกษากับการโคชชิ่งกระบวนทัศน์ใหม่พอดี :-) )
งานนี้ อาจจะทำนานหน่อย เรา(ส่วนตัว)อยากเก็บข้อมูลมากขึ้นด้วย อาจจะได้ตุเลงตุเลงไปนู่นไปนี่ ... ฮี่ๆ ^_^

- งานสุดท้ายล่ะ... เราทำประสานงานการอบรมแนวกระบวนทัศน์ใหม่ ดอกอะไร (ไดอะลอก) เป็นต้น ชื่อสถาบันไฮโซมาก คือ "ขวัญแผ่นดิน สถาบันเพื่อการเรียนรู้โลกด้วยใจ" แต่... สำนักงานกระจายไปตามบ้านของทุกคน (ซึ่งก็ไม่เกิน 10 คนอยู่ดี ^^) 

- อันท้ายสุด อันนี้ Want เองฮ่ะ... กำลังถักโครเชต์เป็นกระเป๋าใส่นุ้งแมคคร่า ... เฮ่ๆๆ ทำวันละนิดหน่อย ด้วยข้ออ้างว่าคลายเครียดค่า (หวังว่า...คงเสร็จภายในเดือนนึง) แล้วจะเอามาอวดโฉมกันค่า 


อ้อ - อีกเรื่องที่พยายามหาสมดุลให้ตัวเอง งานนี้เป็น 3 เส้าเลย คือ สมดุลระหว่างฐานกาย-คิด-ใจ เพราะนั่งอยู่หน้าคอมนานมากในแต่ละวัน แถมดึกๆก็ไม่ค่อยง่วง แต่ถ้าตื่นสายวันนั้นงานก็จะไม่ค่อยเดิน -_-" ก็ปรับๆกันไป ตอนนี้ทำไปมั่วๆ แบบไร้กลยุทธ์ สู้ๆค่ะ (ทุกคนก็เหมือนกันนะคะ)
 :-B


"ความจริง ชีวิตทุกวันนี้ ไม่ได้มีเพื่อให้เราสร้าง
ให้มันปรากฎในแบบที่เราอยากให้มันเป็น 
แต่มีไว้ให้เราปรับตัวให้สามารถดำรงอยู่อย่างมีความสุข
ไม่ว่าความจริงในแต่ละวันจะเป็นเช่นไรต่างหาก" 
-นานาจิตตัง 090601


Related Posts with Thumbnails