วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

นิมิตเดือนกุมภา

ออกจากบ้าน อยากพักใจ สัก 1 เดือน

เดินป่า กลับสู่บ้านที่แท้...ธรรมชาติ

สายน้ำคงไหลเย็น ชะโชลมใจฉันให้เย็นด้วย

ผืนดินคงนุ่มเท้า สะอาดกว่าสำลี

ต้นไม้คงสูงใหญ่ อยู่กับคนใจดี

คนบนเขา ผู้มีศรัทธา...สูงส่ง

จะทำตามใจ ในอาทิตย์ที่ 2

อาจจะนอน เท้าชี้ฟ้า อ่านหนังสือ

จะม้วนใจเข้าใน ไม่ให้ใครมากวน

เฝ้าทบทวนชีวิต หนึ่งที่เกิดมา

ออกเดินทางตามใจ ไปกับเพื่อนสักคน

ไม่ต้องรู้เรื่องฉันทุกอย่าง แต่ไว้ใจฉันทุกอย่าง

แวะทักทาย รายทาง ตามประสา

แสนสุขอุรา เรียนรู้ เรียนรู้ ตลอดชีวิต

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

Awareness สติ




หรือบางที...

Suffering กับ Difficulty นั้นต่างกัน

ว่าแต่...

เราเห็นความแตกต่างนั้นในชีวิตเราหรือเปล่า?

นานาจิตตัง 090128 0945

Inspiration: หลวงพ่อไพศาล วิสาโล

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

Ah, not to be cut off อย่าได้แบ่งแยกแตกส่วน


Ah, not to be cut off
not through the slightest partition
shut off from the law of the stars.
The inner - what is it?
if not intensified sky,
hurled through with birds and deep
with the winds of homecoming.

อ้า...อย่าได้แบ่งแยกแตกส่วน

มิได้อยู่ที่ชิ้นส่วนที่เล็กที่สุด
ซึ่งถูกปิดกั้นจากกฎของดวงดารา
โลกภายใน มันคืออะไร?
หรือมันคือฟ้าสีคราม?
ที่โบยบินไปพร้อมกับนก
และพัดพริ้วไปกับสายลมที่หวนสู่บ้านเกิด

- "Ah, not to be cut off" Rainer Maria Rilke เขียน, นานาจิตตัง แปล -

ตีความ:
หากกระทำดังส่วนแรก (บรรทัด 1 - 3) คือ แยกส่วน แบ่งสิ่งต่างๆลงเป็นส่วนย่อยๆแล้วศึกษา ก็จะไม่สามารถเข้าใจส่วนใหญ่ได้ เพราะเมื่อศึกษาเพียง Slighest partition หรือส่วนย่อยสุดๆ แล้ว กฎของดวงดารา Law of the stars ก็จะไม่สามารถรับรู้ได้ ตีความกฎของดวงดารา ว่าเป็น Emergent Property ขององค์รวม ซึ่งมีมากกว่าแค่คุณสมบัติขององค์ประกอบย่อยๆรวมกัน ("The whole is more than the sum of its part") ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาได้ง่ายๆ คือ หากเราต้องการเข้าใจคนคนหนึ่ง เราก็ค่อยๆดูเขา/เธอทีละส่วน ทีละอวัยวะ ทีละเนื้อเยื่อ ทีละเซลล์ แม้วิธีนี้จะทำให้เราเข้าใจอะไรใหม่ๆมากมาย แต่กระนั้นก็ดี แม้เราจะสามารถเข้าใจเซลล์แต่ละเซลล์อย่างกระจ่างแจ้ง (ซึ่งวิทยาศาสตร์กระแสหลักในปัจจุบันก็ยิ่งค้นพบอะไรใหม่ๆได้ทุกวัน) แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เราเข้าใจความเป็นเนื้อเยื่อ ซึ่งเกิดจากเซลล์หลายๆเซลล์มารวมกันได้เลย และต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆในทำนองเดียวกัน เราก็มิอาจเข้าใจอวัยวะหนึ่งๆ ได้จากการทำความเข้าใจแต่เนื้อเยื่อ และไม่อาจเข้าใจร่างกายทั้งร่าง ด้วยการศึกษาทีละอวัยวะ เพราะคุณสมบัติใหม่ของเนื้อเยื่อ...ประหนึ่งว่าเกิดขึ้นมาเอง มิได้มาจากการรวบรวมผลการศึกษาคุณสมบัติของเซลล์ทุกประเภทเอาไว้ด้วยกัน

หรือผู้เขียนพยายามจะบอกว่า การศึกษาแต่โลกภายนอกอันแบ่งแยก และละเลยชีวิตจิตใจนั้น มิได้สมควรเลย (ตรง Ah(!!!), not to be cut off) เนื้อหาในส่วนที่สองจึงโยงเข้าสู่เรื่องนี้ ว่าแล้วมันคืออะไรล่ะ? แต่แทนที่จะบอกตรงๆ กลับอุปมาถึงคุณลักษณะของการสัมผัสโลกภายในใจของตนเองแทน ว่ามันคือท้องฟ้าสีคราม...เข้มข้น...ใสกระจ่าง...และสดชื่น ซึ่งเป็นคุณภาพของความเปิด ความกว้าง(=ไม่คับแคบ) ของการเข้าใจในตัวตน...ให้เปิดโล่ง ความอิสระเสรีและพลิ้วไหวไปกับนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า ไม่ยี่หร่ะหรือกังวลกับเรื่องราวใดๆ อะไรจะเกิดก็ร่วมเต้นรำไปกับมันได้ ส่วน"สายลมที่พัดหวนสู่บ้านเกิด"น่าจะหมายถึง การกลับมาเข้าใจ "ราก" ของตัวเองหรือไม่? โดยหากเราสามารถเข้าไปเข้าใจและยอมรับที่มาที่ไปและตัวตนข้างในของตัวเองได้แล้ว การเข้าใจในแบบหลัง จะนำไปสู่การขยายจากตัวตนที่คับแคบ เห็นแก่ตัว ให้ใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งแตกต่างจากการเข้าใจแบบธรรมดา ที่จำได้ พูดได้ เช่นที่ผู้เขียนกล่าวไว้ในส่วนแรก

หรือ Rainer Maria Rilke คือ กวีจิตวิวัฒน์?


ปล. มาจาก บทนำ ใน กล้าสอน, The Courage to Teach.
ปลล. บางคำก็เดาเอา-มั่วเอา ใครมีความเห็นเหมือนหรือต่างอย่างไร ช่วยแชร์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ :-)

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

เป้าหมายปีใหม่ที่เป็นรูปธรรม

คิดว่าหลายๆคนก็คงเคยทำ หรือทำกันไปแล้ว? สำหรับการตั้งความคาดหวัง หรือเป้าหมาย สำหรับปีใหม่

ถัดไปนี้ก็เป็นหนึ่งในแบบฝึกหัดNVC (Non Violence Communication) จากครูหลิ่ง
ที่แม้จะจบคอร์สฝึกอบรมไปแล้ว แต่ผู้เข้าอบรมและทีมกระบวนกรก็ยังยึดโยงกันอยู่ด้วยเมล์กรุ๊ป ซึ่งครูหลิ่งก็ได้ลองหยอดแบบฝึกหัด "การฝึกตั้งเป้าหมายสำหรับปีใหม่นี้อย่างเป็นรูปธรรม จำเพาะเจาะจง และสามารถทำได้จริง" ซึ่งเลียนกับการขอร้องด้วยคำขอที่เป็นรูปธรรม จำเพาะเจาะจง อีกฝ่ายสามารถทำได้(แต่จะทำหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง) ตามหลักการของ NVC

เราก็รับมาทำแต่โดยดี...คิดได้เท่านี้แล (ลองอ่านดูเล่นๆ จะได้เห็นว่าเราตั้งใจกับเรื่องอะไร ไม่ได้มีเจตนาอวดอ้างว่าปฏิบัติอย่างงู้นอย่างงี้มากมายก่ายกอง เลยนะจ๊ะ ส่วนผู้ใดอ่านแล้วนึกสนุก อยากแบ่งปันความตั้งใจของตัวเองบ้าง ก็ยินดีรับฟังค่ะ)

----------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้าพเจ้า ตั้งใจที่จะกระทำดังต่อไปนี้ ในปีใหม่ 2552 เพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน และธรรมชาติ

1.สร้างพื้นที่การเรียนรู้ภายใน แห่งการอยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยการ...
  1. ฝึกรู้เนื้อรู้ตัวในชีวิตประจำวัน ระหว่างทำการงาน พูดคุยกับผู้อื่น เดินทาง รดน้ำต้นไม้ เล่นกับหมา ฯลฯ เท่าที่ทำได้ (จริงๆ ต้องบอกว่า สร้างเหตุปัจจัยให้เกิดสติมากกว่า "ความจำได้เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ" กระมัง? - ตอนนี้ก็เขียนเท่านี้ก่อน ลองๆทำไปเดี๋ยวก็รู้เองแหละมั้ง)
  2. ผึกสมาธิ(และวิปัสสนา...เมื่อมันมาเอง)ด้วยการเดิน และ/หรือ นั่ง วันละประมาณ 20 นาที อย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน
2. สร้างพื้นที่การเรียนรู้ภายนอก แห่งการศึกษาวิชาชีพ ด้วยการ...
  1. สร้างวินัยให้แ่ก่ตนเอง ทำสิ่งที่ควรทำก่อน สม่ำเสมอ ตรงต่อเวลา ทั้งกับตนเองและผู้อื่น
  2. ยังไม่รู้...
  3. ยังไม่รู้...
  4. ยังนึกไม่ออก...(แล้วเขียนทำไม ;b )
------------------------------------------------------------------------------------------------------
เท่านี้ละกัน สำหรับตอนนี้

นึกถึง คำพูดของครูจาร์ยต้น (พระอาจาร์ยของอจ.เอเชีย) ที่มาพูดในคลาสแรกของ EETP07 เกี่ยวกับ วินัย และการตั้ง "สัจจะ" หรือ ความตั้งใจ ของเราเอง ซึ่งครูจาร์ยก็ย้ำนักย้ำหนา ว่าตั้งแล้วต้องทำให้ได้ มันจะเป็นพลังสัจจะของเรา ถ้าตั้งไว้ แล้วทำไม่ได้ เราก็จะไม่มีพลัง

ซึ่งก็เจอกับตัวเอง มาหลายครั้งหลายครา ตั้งสัจจะว่าจะ... ทำได้สักพัก ก็ขี้เกียจ ก็ไม่ทำต่อเนื่อง คงเพราะพอไม่ทำเสียครั้งหนึ่ง ครั้งถัดๆมา เราก็จะมี "เหตุผล" ให้ตัวเองเร็วขึ้น และเราก็ยอมรับเหตุผลเหล่านั้นได้ง่ายดายขึ้นด้วย

สำหรับตัวเอง ก็ใช้วีธีตั้งสัจจะใหม่ เพราะอดีต ก็ผ่านไปแล้ว จะคร่ำครวญเสียใจไปไย?

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

โศกนาฏกรรม แห่ง ความรัก


เราจะไม่ควรคาดหวังจากกันและกันได้อย่างไร

ในเมื่อปากเธอบอกว่า อย่ามาคาดหวังกับฉันเลย

แต่ใจเธอกลับงุ่นง่าน เมื่อฉันไม่สามารถเป็นตามที่เธอวาดหวังได้

เธอสมควรที่จะคาดหวัง กับคนที่เธอไม่อยากให้คาดหวังได้ด้วยหรือ


ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอ จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้อย่างไร

หากเธอยังไม่เป็นตัวของตัวเอง หากแต่ร่ำร้องกับคนอื่น

ว่าโปรดอย่าคาดหวังกับเธอเลย เธอไม่อยากเจ็บปวด

แท้จริงแล้ว เธอเพียงใฝ่หาโอบกอดอันปลอดภัยและอบอุ่น



.....................

เท่านี้เอง อย่างบ้าคลั่ง เราต่างน่าสงสาร ทั้งคู่

สุริยัน จันทรา


เธอ ผู้เป็นดั่ง สุริยา
สาดแสง เจิดจ้า สู่ใจฉัน
เบิกเสียง หัวเราะร่า อยู่ครามครัน
แต่งแต้ม สีสัน จากด้านชา

ฉัน ผู้เป็นดั่ง จันทรา
คอยโอบกอด เธอเบาเบา ยามร่ำไห้
ไว้ใจ โปรดเทอด จงไว้ใจ
แสงจันทร์ จะโอบไล้ ให้ผ่อนคลาย

---------------------------------------

นานาจิตตัง 090105 23:45

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

ความหมายที่แท้จริง ของ สันติภาพ (ของฝากในวาระดีถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๒)


การธำรงรักษาสันติภาพในตัวเรา
ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากเท่าใด
ท่าทีทางจิตใจของตนต่างหาก คือปัจจัยสุดสำคัญ
ถ้ามันบิดเบี้ยวไป ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกอย่างความโกรธ
ความยึดติด หรือ ความอิจฉาริษยา
แม้จักอยู่ในสถานการณ์แสนเบาสบาย
ก็ไม่อาจนำสันติสุขไปสู่ผู้ใดได้เลย
ในทางกลับกัน หากท่าทีและที่ทางภายในของตน
สงบและนุ่มนวลเป็นส่วนใหญ่
แม้สถานการณ์จักเลวร้ายปานใด ก็อาจสั่นสะเทือน
สันติภาพในเรือนใจได้...เพียงน้อยหนึ่ง
เนื่องด้วยต้นธารเบื้องต้นของสันติภาพและความสุข
อยู่ที่ทัศนคติภายในใจของตนเองต่างหาก
ฉะนี้เอง จึงคุ้มค่ามหาศาล ที่จักโน้มนำแนวทาง
ในการจำเริญจิตใจให้เป็นไปในทางบวกอยู่เสมอ


องค์ดาไล ลามะ ที่ ๑๔
(สุวัฒนา ชุมพลกูลวงศ์ แปลและเรียบเรียง)



True Meaning Of Peace


The most important factor
in maintaining peace within oneself,
in the face of any difficulty,
is one’s mental attitude.
If it is distorted by such feelings as
anger, attachment or jealousy,
then even the most comfortable environment
will bring one no peace.
On the other hand, if one’s attitude
is generally calm and gentle,then
even a hostile environment will have little effect
on one’s own inner peace.
Since the basic source of peace and happiness
is one’s own mental attitude.
It is worthwhile adopting means
to develop it in a positive way.

His Holiness the 14th Dalai Lama
Related Posts with Thumbnails